Central serous chorioretinopathy (CSC หรือ CSR)
โรคศูนย์กลางจอประสาทตาบวมน้ำ
Ending Blindness
จบสิ้นเสียทีโรคที่ทำให้คนตาบอด
เป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุ มักเกิดในผู้ชายวัยทำงาน ที่ตรากตรำ อดหลับอดนอน เคร่งเครียด เอาจริงเอาจังกับชีวิต
อาการ
ตาพร่ามัวข้างใดข้างหนึ่ง อาจเห็นเป็นดวงสีเทา/ดำ บังตรงกลางในจุดที่เพ่งมอง หรือมองเห็นภาพบิดเบี้ยว
การดำเนินโรค
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการดีขึ้นเองในเวลา 3-6 เดือน ถึงแม้ว่าระดับการมองเห็นจะสูญเสียไปบ้าง(20/30) โรคนี้มักจะกำเริบซ้ำได้อีก การกำเริบซ้ำหลายครั้งจะทำให้ระดับการมองเห็นลดลงไปอีก และอาจพบการเกิดโรคนี้ในตาอีกข้างได้เช่นกัน
การรักษา
เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุและกลไกการเกิดโรคนี้ ปัจจุบันจึงยังไม่มีการรักษาจำเพาะ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่ถุงน้ำมีขนาดใหญ่ ไม่ยุบเอง และจุดรั่วอยู่ห่างจากศูนย์กลางจอประสาทตาพอประมาณ ก็มีจักษุแพทย์บางท่าน พิจารณาให้การรักษาด้วยการยิงเลเซอร์เพื่ออุดรูรั่วดังกล่าว แต่ระดับการมองเห็นก็มักจะไม่ดีขึ้น นั่นคือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ จักษุแพทย์มักจะไม่ให้การรักษา
ตัวอย่าง
รอยบวมขนาดใหญ่มากจากผู้ป่วยจริง
และยุบบวมหมดแล้วหลังการนวดตา 1 เดือน
จากการสังเกตุส่วนตัว พบว่า โรคนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโรคต้อหิน เมื่อทำการขยายม่านตาเพื่อตรวจจอประสาทตา มักจะพบโรคนี้ร่วมกับรอยฝ่อที่ขั้วประสาทตาของโรคต้อหิน ฉะนั้น เป็นไปได้ไหมที่กลไกการเกิดโรคนี้ จะอยู่บริเวณขั้วประสาทตาที่มีแผ่น Lamina cribrosa(LC) รัดเส้นเลือดและเส้นใยประสาทตาอยู่ ถ้าLCรัดเส้นเลือดดำมากเกินไป เลือดที่เข้ามาหล่อเลี้ยงภายในลูกตา ไม่สามารถระบายออกได้สะดวก เกิดแรงดันสะสมย้อนกลับไปที่จุดเชื่อมต่อระหว่างปลายเส้นเลือดฝอยแดงและปลายเส้นเลือดฝอยดำ ( Arterio-venous junction ) ดันน้ำให้รั่วออกทางจุดอ่อนที่อยู่ในบริเวณศูนย์กลางจอตา ( Macular area )เกิดเป็นลักษณะถุงน้ำคั่งค้างอยู่
จากสมมติฐานดังกล่าว จึงได้ให้ผู้ป่วยโรคนี้ทำการนวดตาด้วยตนเองโดยไม่ใช้ยาใดๆทั้งสิ้น ผลปรากฎว่า ผู้ป่วยเกือบทุกรายที่มีวินัยในการนวดตา พบว่าถุงน้ำแบนราบลง มีการมองเห็นดีขึ้นเหมือนเดิม หรือเกือบเหมือนเดิม
สรุป
โรค CSR มีกลไกการเกิดโรคจากการรัดตัวของ LC โดยมีภาวะความเครียด อดนอนตรากตรำทำงาน เป็นตัวกระตุ้น (Trigger)ให้โรคเกิดขึ้น และการนวดตาที่สามารถคลายการรัดตัวของแผ่น LC ทำให้แรงดันในเส้นเลือดดำลดลง จึงไม่มีน้ำรั่วซึมออกจาก A-V junctionอีกต่อไป ทำให้ถุงน้ำที่คั่งค้างอยู่ ค่อยๆแบนราบลง และการมองเห็นดีขึ้นกลับมาเหมือนเดิมหรือเกือบเท่าเดิม
ตัวอย่างผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแล้ว
1. นาย สิทธา เจียรพันธุ์ โทร. 081-9375545
2. นาย เยาแสง พัฒนชาคร อายุ 47 ปี อยู่ อ.หาดใหญ่ จังหวัด สงขลา โทร. 081-5991199
3. นาย โสรัจจ์ ชิรวาณิชย์ อายุ 64 ปี โทร. 085-3595339 ก่อนนวดตา VA 20/100 หลังนวดตา VA 20/20-2
4. นส.ฐิติมา ผิวคล้ำ อายุ 24 ปี อ.เมือง จ.สมุทรปราการ โทร.089-9997185
ประวัติ
ตาซ้ายมองเห็นดวงสีดำตรงกลาง เป็นมา 1 สัปดาห์ ไปตรวจกับจักษุแพทย์หลายแห่ง ไม่ทราบการวินิจฉัยที่แน่นอน และรักษาไม่ได้ ทำ MRI สมองมาแล้ว พบว่าปกติ
วันที่ 24 เมษายน 2556
ระดับการมองเห็น ตาขวา ( ปกติ ) 20/20 ตาซ้าย( ผิดปกติ ) 20/100 ตรวจจอประสาทตา พบศูนย์กลางจอประสาทตาทั้ง 2 ข้าง บวมและเสื่อมสภาพ ตาซ้ายหนักกว่าตาขวา ( ดูรูป ) และเริ่มรักษาด้วยการนวดตา
วันที่ 8 พฤษภาคม 2556
ระดับการมองเห็น ตาขวา ( ปกติ ) 20/20 ตาซ้าย ( ดีขึ้น ) 20/40
วันที่ 5 มิถุนายน 2556
ระดับการมองเห็น ตาขวา ( ปกติ ) 20/20 ตาซ้าย ( เกือบปกติแล้ว ) 20/20-2
ประวัติการบอกเล่าของผู้ป่วย
สวัสดีคะ เราชื่อ ฐิติมา ปัจจุบัน อายุ24ปี เป็นคนที่เติบโตมากับคอมพิวเตอร์ เล่นตั้งแต่อยู่ป.5 และเล่นหนักขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจาก ตอนเด็กๆ เป็นช่วงที่ เกมส์ออนไลน์บูมมากๆ เราเล่นทั้งวันทั้งคืน นอนแค่2-3ชม สะดุ้งตื่นมาก็เล่นต่อเลย พอเลิกเล่นเกมส์ได้ ..ก็ใช้คอมพิวเตอร์ในการขายของผ่านทางเน็ต และ เรียนต่อมหาวิทยาลัยปริญญาตรี/โท ทางด้านคอมพิวเตอร์ อาการเกี่ยวกับตาเริ่ม แสดงออกมาช่วงเรียนจบ ป.โท อายุ24 เพราะ ช่วงเรียนปริญญาโท เราใช้คอมหนักมากเนื่องจากต้องหา paper มาทำงานวิจัย และต้องอ่าน เพื่อนำไปเขียนเป็นรูปเล่ม ทำให้ต้องใช้คอมมากเป็นพิเศษ ต่อมาก หลังจากเรียนจบได้มาทำงานเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้าง เป็นธุรกิจของทางบ้าน และเนื่องจาก ทางบ้านใช้ระบบเขียนบิลด้วยมือหมด ทำให้เรา ต้องใช้คอมอีกครั้ง ในการเช็คสินค้า และเพิ่มสินค้าเข้าไปในคอม รายการไม่ต่ำกว่า 5000รายการ แต่เพิ่มไปได้ไม่ถึง2000รายการ เราเริ่มมีอาการ ปวดตามากๆ จนลามไปที่หัว และมีไข้ร่วมด้วย เราเข้าไปนอนโรงพยาบาลอยู่3คืน คุณหมอแจ้งว่าเราเป็นโรคไข้รากสาดใหญ่
หลังจากออกจากโรงพยาบาล เราก็ใช้คอมอีกเหมือนเดิม เนื่องจากต้องการทำระบบให้สำเร็จ ผ่านไปไม่ถึงสามเดือน เรามีอาการ ตามัวๆ พอขยี้ตาก็จะหาย และอาการแย่ลงอีกคือเริ่มมองเห็นภาพซ้อน เหมือนภาพสามมิติ แต่เรานึกว่าเรานอนไม่พอ เนื่องจากช่วงที่เป็นหนักเป็นช่วงสงกรานต์ เราเล่นตอนดึกทุกวัน กลับมาก็ดึกทุกวัน และก็คิดว่าตาเป็นแบบนี้สงสัยเพราะน้ำที่เล่นสงกรานน่าจะสกปรกแล้วเข้าตาเรา จนสุดท้ายหลังสงกรานต์เรานอนเร็วขึ้น เพราะคิดว่าถ้านอนให้พอ ตาคงดีขึ้น แต่ผ่านไป2วันก็เหมือนเดิมยังเห็นภาพซ้อนๆกันเหมือนเดิม เล่นคอมก็ไม่สามารถมองเห็นตัวหนังสือบนจอคอมได้ เริ่มเห็นอาการผิดปกติ เลยลองทำการ ปิดตาซ้าย เปิดตาขวา และ เปิดตาซ้าย ปิดตาขวา ปรากฎว่าตาซ้ายเรามีปัญหา เรามองไปที่นาฬิกา เราไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเวลากี่โมง มันจะมองไม่เห็นตรงกลาง ในส่วนที่ๆเราจะมอง เช่นมี ตัวเลข 1 2 3 ถ้าเรามองเลข2 เราจะมองไม่เห็นเลข2แต่จะเห็นแค่เลข 1และ3แทน มันจะมีหมอกสีเทาๆ กลมๆมาปิดตรงส่วนที่เราจะมอง เราจึงได้ไปพบแพทย์ที่ รพ.รามคำแหง หมอถามว่าเราไปมองสุริยุปราคามาหรือเปล่า และแจ้งว่าเราเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม และไม่มีวิธีรักษาหาย ไม่มียาให้กิน รักษาไม่ได้ เราเครียดมาก พี่จึงแนะนำให้เราไป รพ.บำรุงราษฎร์ พบหมอคนแรก วินิจฉัยว่าเราเป็น red cherry spot และแจ้งว่าโรคนี้ต้องรีบรักษาภายใน ไม่กี่นาที ถ้าช้ากว่านั้นรักษาไม่ได้ แต่เนื่องจากหมอ ไม่เชี่ยวชาญเรื่องประสาทตา เลยส่งไปให้เราไปพบกับหมอประสาทตาโดยตรง หมอประสาทตา วินิจฉัยไว้2อย่างคือ เราเป็นโรคตาขี้เกียจ หรือ อาจมีเนื้องอก ไปกดทับเส้นประสาทตา แต่ที่หมอบอกอาการมาคือมันไม่ตรงกับที่เราเป็นเลย เพื่อความแน่ใจเราเลยไป รพ.พระรามเก้า เพื่อทำMRIและฉีดสี หมดไป 24000฿ ผลปรากฎว่าไม่พบเนื้องอก หรืออะไรไปกดทับประสาทตา เราเครียดมากๆร้องไห้ทุกวัน เพราะไม่มีหมอคนไหน บอกว่าจะรักษาเราได้ เราเลย search google หาหมอที่เก่งเรื่องประสาทตา และได้เจอคลิป หนึ่ง เหมือนเป็นรายการสัมภาษณ์ คุณหมอ นพ.สมเกียรติ อธิคมกุลชัย รักษาด้วยการนวดตา และ ได้รักษาพระที่ตาบอดตั้งแต่เกิดให้สามารถกลับมามองเห็นได้ และเห็นมีหลายคนไปรักษาแล้วกลับมามองเห็นได้ดีขึ้น เราได้โทรไปถามคนที่เคยรักษากับคุณหมอซึ่งได้ให้เบอร์ไว้ในเว็บ เค้าบอกเราว่าตาเค้าดีขึ้น สามารถกลับมาขับรถได้ปกติแล้ว เรารู้สึกเริ่มมีความหวังมากขึ้น จึงรีบไปรพ.เอกชัย จ.สมุทรสาคร ในวันรุ่งขึ้น และได้พบหมอ หมอแนะนำให้นวดตา ทุกชั่วโมงครึ่ง และกินยา แอสไพริน และวิตามินเอ ร่วมด้วย หมอบอกว่าเราเป็นโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม และบอกว่าเราจะหาย เราก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรเพราะหมอใน รพ.ในกรุงเทพ 3-4คน บอกว่ารักษาเราไม่ได้สักคน และช่วงที่กดตา2อาทิตย์แรก คนรู้จักบอกเราว่าอย่าไปกด ตาเพราะเค้าเคยได้ยินว่า ตามีเส้นประสาทเยอะ เสี่ยงตาบอด มากๆ เราก็กลัวแต่เราก็กดตาต่อไปเพราะนี่เป็นทางเดียวที่จะรักษาเราได้ พอครบ2อาทิตย์ไปพบหมออีกครั้ง ตาเราดีขึ้น มองเห็นได้มากขึ้น และหมอได้นัดอีกที1เดือน ณ ปัจจุบัน ใช้เวลารักษาไป 1เดือน 2อาทิตย์ ตาเรากลับมามองเห็นเหมือนคนปกติ ไม่มีอะไรกลมๆ มาบังตาเราแล้ว ต้องขอบคุณ คุณหมอ นพ.สมเกียรติ อธิคมกุลชัย มากๆเลยคะ เพราะถ้าไม่ได้หมอป่านนี้เราคงตาบอดไปแล้วแน่ๆ
เราไม่ใช่หน้าม้า ขอยืนยันว่าเรื่องที่เล่าทั้งหมดมาเป็นเรื่องจริง ตอนแรก เราอ่านในเวบ มีแต่คน ดิสเครดิตคุณหมอ แต่สุดท้ายนี้ตาเราหายเพราะคุณหมอ นพ.สมเกียรติ อธิคมกุลชัย ในขณะที่ คุณหมอโรงพยาบาลดังๆ ในกรุงเทพไม่สามารถรักษาเราได้
ใครที่อาการเป็นแบบเรารีบมาพบหมอเถอะคะก่อนที่จะรักษาไม่ได้
5. น.ส. ธัญญ์นภัส ศิริโชคจิรนนท์
อายุ 37 ปี เขต คลองสาน กรุงเทพฯ โทร.087-7738381
ประวัติ
ตรวจพบจอตาขวาบวมน้ำมา 1 สัปดาห์
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2556
การมองเห็น ตาขวา 20/200 มองผ่านรู 20/70 ตาซ้าย 20/20 ,พบรอยบวมน้ำขนาดใหญ่ที่ศูนย์กลางจอตาด้านขวา และเริ่มรักษาด้วยเทคนิคการนวดตา
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2556
การมองเห็น ตาขวา 20/40-3 ตาซ้าย 20/20
วันที่ 12 ธันวาคม 2556
การมองเห็น ตาขวา 20/30-1 มองผ่านรู 20/30 ตาซ้าย 20/20
วันที่ 15 มกราคม 2557
การมองเห็น ตาขวา 20/20-1 ตาซ้าย 20/20
ติดต่อเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล
E-mail :
[email protected]
กลับสู่หน้าหลักงานวิจัยของน.พ. สมเกียรติ